อินเทอร์เน็ตเป็นเทคโนโลยีที่ช่วยให้เกิดการสื่อสารไร้พรมแดน
กล่าวคือ ผู้ใช้งานอินเทอร์เน็ตทั่วโลก
สามรถเข้าถึงข้อมูลได้ไม่จำกัดสถานที่และเวลา ดังนั้น
จึงมีการนำอินเทอร์เน็ตไปประยุกต์ใช้งานหลากหลายประเภท
1. ไปรษณีย์อิเล็กทรอนิกส์หรืออีเมล
(electronic mail หรือ e-mail)
เป็นบริการใช้ได้รับความนิยมมาก
เนื่องจากผู้ใช้งานสามรถรับส่งข้อความเพื่อติดต่อแลกเปลี่ยนข้อมูลข่าวสารกับบุคคลอื่นๆได้อย่างรวดเร็วกว่าการใช้บริการระบบไปรษณีย์แบบดั้งเดิม
นอกจากนี้ไปรษณีย์อิเล็กทรอนิกส์ยังสามารถส่งข้อมูลในรูปแบบอื่นๆ
นอกเหนือจากตัวอักษรได้อีกด้วย เช่น ภาพนิ่ง ภาพเคลื่อนไหว เสียง เป็นต้น แนบไปได้อีกด้วย
การส่งไปรษณีย์อิเล็กทรอนิกส์ต้องมีการระบุที่อยู่ของผู้รับเช่นเดียวกับการระบุที่อยู่บนซองของการส่งไปรษณีย์ธรรมดาทั่วไป
ซึ่งในการส่งไปรษณีย์อิเล็กทรอนิกส์ผู้ส่งและผู้รับจะต้องมีที่อยู่เรียกว่า
ไปรษณีย์อิเล็กทรอนิกส์แอดเดรส (e-mail Address) สำหรับรูปแบบของไปรษณีย์อิเล็กทรอนิกส์แอดเดรสจะประกอบด้วย
2 ส่วน คือ ชื่อผู้ใช้และชื่อเครื่องบริการ โดยใช้เครื่องหมาย @ (ออกเสียงว่า
แอ็ท) คั่นระหว่างทั้งสองส่วนนี้ ตัวอย่างเช่น
รูปที่
1
ไปรษณีย์อิเล็กทรอนิกส์
เมื่อผู้ใช้ส่งไปรษณีย์อิเล็กทรอนิกส์แล้ว ไปรษณีย์จะถูกเก็บไว้ที่เครื่องเซิร์ฟเวอร์หรือเมลเซิร์ฟเวอร์ (mail
server) จนกระทั่งผู้รับมาเปิดอ่าน
รูปแบบการใช้งานไปรษณีย์อิเล็กทรอนิกส์ในปัจจุบัน
มีดังนี้
1.1 เว็บเมล (Web Mail)
เป็นการบริการการรับส่งไปรษณีย์อิเล็กทรอนิกส์ผ่านโปรแกรมเว็บบราวเซอร์
โดยผู้ใช้สามารถสมัครลงทะเบียนในเว็บไซต์ที่เปิดให้บริการได้
จากนั้นผู้ใช้จะได้รับไปรษณีย์อิเล็กทรอนิกส์แอดเดรสและรหัสผ่าน
เพื่อขอเข้าใช้บริการผ่านเว็บไซต์ดังกล่าว
ซึ่งเว็บเมลส่วนใหญ่จะให้โดยที่ผู้ใช้ไม่ต้องเสียค่าใช้จ่ายใดๆ
ตัวอย่าง
เว็บเมลของประเทศไทยที่ได้รับความนิยม
ตัวอย่าง
เว็บเมลของต่างประเทศที่ได้รับความนิยม
รูปที่
2
ตัวอย่างเว็บเมลที่ได้รับความนิยม
1.2
พ๊อปเมล (POP Mail) เป็นบริการไปรษณีย์อิเล็กทรอนิกส์โดยใช้โปรแกรมจัดการไปรษณีย์อิเล็กทรอนิกส์
ซึ่งโปรแกรมจัดการไปรษณีย์อิเล็กทรอนิกส์จะติดต่อกับเครื่องคอมพิวเตอร์ที่ทำหน้าที่รับ-ส่งไปรษณีย์อิเล็กทรอนิกส์
โปรแกรมพ๊อปเมลที่นิยมใช้ เช่น Microsoft Outlook. Windows Mail, Netscape Mail
เป็นต้น
รูปที่ 3 ตัวอย่างโปรแกรมพ็อปเมลที่นิยมใช้
2. การโอนย้ายแฟ้มข้อมูล
การโอนย้ายแฟ้มข้อมูล (File
Transfer Protocol : FTP) เป็นการโอนแฟ้มข้อมูลจากคอมพิวเตอร์เครื่องหนึ่งไปยังคอมพิวเตอร์อีกเครื่องหนึ่ง
ซึ่งอาจอยู่ใกล้หรือไกลกัน ในการโอนย้ายข้อมูลเครื่องคอมพิวเตอร์ที่ผู้ใช้กำลังใช้งานอยู่และมีการเรียกใช้โปรแกรมสำหรับการโอนย้ายแฟ้มข้อมูล
เรียกว่า เครื่องต้นทาง (Local host) ซึ่งทำหน้าที่เป็นเครื่องลูกข่าย
ส่วนเครื่องคอมพิวเตอร์ที่ทำการติดต่อไปเพื่อโอนย้ายแฟ้มข้อมูลนั้นเรียกว่าเครื่องปลายทาง
(remote host) โดยทำหน้าที่เป็นเครื่องแม่ข่าย
ซึ่งผู้ใช้งานโปรแกรมที่เครื่องต้นทางจะต้องระบุชื่อเครื่องหรือหมายเลขไอพีของเครื่องปลายทางที่ต้องการใช้บริการ
การโอนย้ายแฟ้มข้อมูล มีการทำ 2
ลักษณะ คือ
1.
get
เป็นการโอนย้ายแฟ้มข้อมูลจากเครื่องปลายทางมายังเครื่องต้นทาง (download)
2. put เป็นการโอนย้ายแฟ้มข้อมูลจากเครื่องต้นทางไปยังเครื่องปลายทาง
(upload)
การบริการโอนย้ายแฟ้มข้อมูล มี 2
ลักษณะ ได้แก่
1.
การโอนย้ายข้อมูลด้วยโปรแกรมโอนย้ายข้อมูล ทั้งที่เป็นแบบแจกฟรี (freeware)
และแบบให้ทดลองใช้ก่อน (shareware) เช่น WS_FTP
CuteFTP เป็นต้น
2. โอนย้ายแฟ้มข้อมูลผ่าน Web
Browser
3. การแลกเปลี่ยนข่าวสารและความคิดเห็น
การแลกเปลี่ยนข่าวสารและความคิดเห็น (Internet
forum) เป็นบริการแลกเปลี่ยนข้อมูลข่าวสาร การอภิปรายและแสดงความคิดเห็นร่วมกันของผู้คนในสังคมผ่านอินเทอร์เน็ต
ซึ่งแนวโน้มล่าสุดของการใช้อินเทอร์เน็ต คือ
ใช้เป็นแหล่งพบปะสังสรรค์เพื่อสร้างเครือข่ายทางสังคม (social network) เทคโนโลยีการแลกเปลี่ยนข่าวสารมีหลากหลายรูปแบบ เช่น ยูสเน็ต (usenet) บล็อก (blog) เป็นต้น
3.1 ยูสเน็ต (usenet)
เป็นบริการในลักษณะกลุ่มสนทนาที่แลกเปลี่ยนข้อมูลข่าวสารบนเครือข่ายอินเทอร์เน็ต
โดยผู้ใช้ต้องสมัครเข้าเป็นสมาชิก (subscribe) กลุ่มหัวข้อใดที่ตนเองสนใจและเมื่อเป็นสมาชิกแล้วก็จะสามารถเรียกดูข้อมูลข่าวสารต่างๆ
ที่อยู่ในกลุ่มหัวข้อนั้นได้และยังสามารถขอความคิดเห็นหรือร่วมแสดงความคิดเห็น
สอบถามปัญหาหรือตอบปัญหาของผู้อื่นที่ถามมาในกลุ่มหัวข้อนั้นๆ ได้
สำหรับยูสเน็ตในเว็บไซต์ต่างๆ ได้มีการจัดแบ่งเป็นกลุ่มหัวข้อต่างๆ เช่น กลุ่มการเมือง กลุ่มเทคนิคด้านคอมพิวเตอร์
กลุ่มดนตรี กลุ่มศิลปะ กลุ่มกีฬา เป็นต้น ซึ่งหากผู้ใช้ไม่ต้องการอ่านข่าวสารในกลุ่มหัวข้อนั้นอีกก็สามารถยกเลิกการเป็นสมาชิก
(unsubscribe) ของกลุ่มหัวข้อนั้นได้
รูปที่
4 ตัวอย่างบริการแลกเปลี่ยนข้อมูลข่าวสารหรือยูเน็ต
(usenet)
3.2 บล็อก (blog)
ย่อมาจากคำว่า เว็บบล็อก (webblog) เป็นเว็บไซต์ที่ใช้เขียนบนทึกเรื่องราว โดยเรียงลำดับตามเวลา เพื่อสื่อสารความรู้สึก มุมมอง ประสบการณ์ ความรู้และข่าวสาร
โดยจะแสดงข้อมูลที่เขียนล่าสุดไว้ส่วนบนสุดของเว็บไซต์หรือบางครั้งอาจเรียกว่า
ไดอารีออนไลน์ (diary online) ข้อมูลหรือความเห็นที่ถูกนำเสนอในบล็อก
อาจจัดทำโดยบุคคลใดบุคคลหนึ่งที่เป็นเจ้าของบล็อกหรือบุคคลที่มีความสนใจร่วมกันหรือมีความเชี่ยวชาญเฉพาะเหมือนกัน
จนเกิดชุมชนในบล็อกขึ้น ซึ่งผู้ใช้คนอื่นๆ สามารถเข้ามาแสดงความคิดเห็นร่วมกันได้และสามารถอ่านเรื่องราวที่เกิดขึ้นตามลำดับเวลาได้
โดยข้อมูลหรือความเห็นสามารถนำเสนอในรูปของข้อความ ภาพ หรือมัลติมีเดีย
ทั้งนี้ผู้เขียน (blogger) ต้องพึงระวังการเขียนข้อความในลักษณะหมิ่นประมาท
ยั่วยุให้ผู้อื่นกระทำผิดกฎหมาย ซึ่งอาจมีความผิดตาม พ.ร.บ.
ความผิดเกี่ยวกับคอมพิวเตอร์ได้ ปัจจุบันบล็อกที่นิยมใช้ในประเทศไทยมีหลายเว็บไซต์
เช่น Hi5, Face book, Wikipedia, YouTube เป็นต้น
รูปที่
5
ตัวอย่างเว็บบล็อก
4. การสนทนาผ่านอินเทอร์เน็ต
การสนทนาผ่านอินเทอร์เน็ต
มี 2 รูปแบบ ดังนี้
4.1 การสนทนาเป็นกลุ่ม
เป็นการสนทนาโดยคู่สนทนาจะพิมพ์ข้อความไปยังเครื่องเซิร์ฟเวอร์
จากนั้นเครื่องเซิร์ฟเวอร์จะส่งข้อความแสดงบนหน้าจอของคอมพิวเตอร์ทุกเครื่องที่ร่วมสนทนา
ซึ่งผู้ใช้ต้องสมัครเป็นสมาชิกเพื่อรับชื่อผู้ใช้และรหัสผ่านเข้าสู่ระบบ
โดยส่วนใหญ่เว็บไซต์จะแบ่งห้องสนทนา (chat room) เป็นกลุ่มหัวข้อต่างๆ
ให้ผู้ใช้ได้เลือกใช้บริการตามความสนใจ ตัวอย่าง เว็บไซต์ที่ให้บริการนี้
เช่น www.sanook.com
www.pantip.com เป็นต้น
รูปที่
6
การสนทนาเป็นกลุ่ม
4.2 การสนทนาระหว่างผู้ใช้โดยตรง เป็นการสนทนาโดยมีเซิร์ฟเวอร์บอกตำแหน่งของโปรแกรมสนทนา
(instant
messaging) ของคู่สนทนา
ทำให้ผู้ใช้สามารถสนทนากับผู้ใช้อื่นๆ ได้โดยตรง การสนทนาไก้ทั้งการพิมพ์ข้อความ
การส่งภาพกราฟิก เสียง และภาพเคลื่อนไหว
นอกจากนี้โปรแกรมยังมีฟังก์ชั่นและลูกเล่นต่างๆ ที่เป็นเครื่องมืออำนวยความสะดวกให้กับผู้ใช้โปรแกรมสนทนาที่นิยมใช้ในปัจจุบัน
ได้แก่ MSN Messenger, AOL Instant Messenger, Yahoo Messenger, Google
Talk, NET Messenger Service, Jabber, ICQ และ Skype
รูปที่
7
การสนทนาระหว่างผู้ใช้โดยตรง
5. บริการค้นหาข้อมูลจากอินเทอร์เน็ต
การค้นหาข้อมูลในอดีตนักเรียนจะต้องเดินทางไปห้องสมุด
เพื่อหาหนังสือที่เกี่ยวข้อง แต่ปัจจุบันมีอินเทอร์เน็ตซึ่งแหล่งข้อมูลขนาดใหญ่เปรียบเสมือนข้องสมุดหลายแห่งทั่วโลกที่เชื่อมโยงกัน
ดังนั้น การสืบค้นข้อมูลจึงทำได้สะดวกขึ้น แต่สิ่งหนึ่งที่จะต้อคำนึงถึง คือ
การค้นหาข้อมูลในอินเทอร์เน็ตนั้น อาจต้องใช้เวลานานมากกว่าจะพบเว็บเพจที่มีเนื้อหาเกี่ยวกับเรื่องนั้นๆ
หรืออาจพบแต่เป็นเนื้อหาที่ไม่ถูกต้องและบางครั้งอาจหาไม่พบเลย โดยวิธีที่ดีที่สุด คือ
การสืบค้นข้อมูลจากเว็บไซต์ค้นหาข้อมูล (search site) ซึ่งเว็บไซต์ค้นหาข้อมูลแบ่งเป็น 2 ประเภทตามลักษณะการทำงาน
ดั้งนี้
5.1 เว็บไซต์ที่มีเครื่องมือหรือโปรแกรมการค้นหา
(search engine) เป็นเว็บไซต์ที่สามารถให้ผู้ใช้หาข้อมูลโดยการระบุคำสำคัญ เพื่อค้นหาข้อมูลด้วยโปรแกรมการค้นหา ซึ่งข้อมูลจะครอบคลุมทั้งข้อความ
รูปภาพ ภาพเคลื่อนไหว เพลง ซอฟต์แวร์ แผนที่ ข้อมูลบุคคล กลุ่มข่าวและอื่นๆ
โปรแกรมการค้นหาส่วนใหญ่จะค้นหาข้อมูลจากคำสำคัญ (keywords) ที่ผู้ใช้ป้อนเข้าไปและจะแสดงรายการผลลัพธ์ที่ตรงหรือใกล้เคียงกับคำสำคัญที่สุด
ตัวอย่าง เว็บไซต์ที่มีเครื่องมือหรือโปรแกรมการค้นหาที่มีชื่อเสียงทั้งในประเทศและต่างประเทศ
เช่น www.google.com, www.bing.com,
www.search.com เป็นต้น
รูปที่ 8
เว็บไซต์ที่มีเครื่องมือโปรแกรมการค้นหา
5.2
เว็บไซต์ที่มีการจัดข้อมูลตามหมวดหมู่ (web directories)
เป็นเว็บไซต์ที่มีการรวบรวมข้อมูลเว็บไซต์ต่างๆ ในอินเทอร์เน็ต
โดยแต่ละเว็ปไซต์จะถูกจัดให้อยู่ในหมวดหมู่ที่เหมาะสม ตัวอย่าง เว็บไซต์ที่มีการจัดข้อมูลตามหมวดหมู่
เช่น www.sanook.com, www.yahoo.com เป็นต้น
การค้นหาข้อมูลด้วยเว็บไซต์ที่มีการจัดข้อมูลตามหมวดหมู่
ทำให้ผู้ใช้ได้รับความสะดวกเพราะสามารถเลือกค้นหาข้อมูลจากหมวดหมู่เว็บไซต์ที่เกี่ยวข้องกับสิ่งที่ต้องการมากที่สุด
แต่หากเว็บไซต์มีการจัดแบ่งหมวดหมู่โดยไม่มีมาตรฐาน
อาจทำให้ผู้ใช้เกิดความสับสนได้ง่าย